แอ่วดี ตอน กิ่วแม่ปานสรวงสวรรค์บนดิน

 

“สรวงสวรรค์บนดิน” คงจะไม่เกินจริงไปนักกับภาพความงดงามเบื้องหน้า “กิ่วแม่ปาน” เส้นทางเดินสำรวจธรรมชาติบนยอดดอยสูงอินทนนท์ ดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย

          เรามาเยือนดอยอินทนนท์ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง  แต่ละเลยสถานที่แห่งนี้มาโดยตลอด  เนื่องจากสักการะพระธาตุนภพลภูมิสิริและพระมหาธาตุนภเมทนีดล (พระธาตุคู่) แล้วเรามักจะเลยไปยังจุดสูงสุดของยอดดอยเลย

แต่แล้ววันหนึ่งเราก็คิดว่ามีสถานที่ที่ไหนอีกหรือไม่ที่เราหลงลืมไปนั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้เราได้มา  “แอ่วดี” ยังที่นี่

“กิ่วแม่ปาน ( Kew Mae Pan Nature Trail)”

new-folder_00020


             อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เดิมมีชื่อว่า “ดอยหลวงอ่างกา”  ต่อมาได้ตั้งชื่อตามพระนามของ พระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่ในอดีต  ดอยอินทนนท์ มีความสูง 2,565 เมตร   เป็นดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย มีพื้นที่ครอบคลุมหลายอำเภอ ดอยอินทนนท์ตั้งอยู่ที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00012         เนื่องจากฤดูที่เรามาเยือนเป็นฤดูหนาว อากาศที่นี่จึงค่อนข้างจะหนาวมาก  มีลมพัดมาเป็นระยะ   ตอนที่เราไปนั้นอากาศประมาณ 3-6 องศา สำหรับคนที่ชินกับการอยู่ในเมืองอากาศร้อนๆแบบเรามาก็แทบจะเดินกลับขึ้นรถในทันที   แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่าอากาศที่นี่ดีมาก  แบบที่จะหาจากในเมืองไม่ได้และไฮไลท์ก็อยู่ที่ฤดูหนาวนี้แหล่ะ   เพราะเราจะเห็นทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา   ว่าแล้วเราก็เตรียมตัว หมวก ผ้าพันคอ เสื้อกันหนาว รองเท้าผ้าใบ พร้อมเดินทาง

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00015

ปากทางเข้าจะมีจุดลงทะเบียนรายชื่อของนักท่องเที่ยวโดยเจ้าหน้าที่จะให้เขียนชื่อทุกคน นักท่องเที่ยวหลายคนที่ต่อแถว   การเดินสำรวจจำเป็นต้องมีไกด์พาเราเดินสำรวจ กรุ๊ปละไม่เกิน 10 คน โดยค่าไกด์จะอยู่ที่ประมาณ 200 บาทต่อกลุ่ม   การเดินจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระยะทาง 3 กิโลเมตร   แล้วแต่ว่าใครจะพักจุดไหนใช้เวลาเท่าไหร่

แต่เนื่องจากในชีวิตประจำวันเราไม่ค่อยได้เดินสักเท่าไหร่  เราจึงเหนื่อยและพักบ่อยกว่ากลุ่มอื่นๆ มีหลายกลุ่มที่ทนเดินไม่ไหวโบกมือยอมแพ้หันหลังกลับไปก่อน   แต่ละจุดที่แวะพักก็จะมีป้ายอธิบายบอกถึงลักษณะของป่า  พืชเฉพาะถิ่น สัตว์   เริ่มเดินขึ้นดอยสูงชันเป็นระยะ

dsc_0132

dsc_0131

ป่าที่นี่จะค่อนข้างทึบเนื่องจากมีต้นไม้สูงใหญ่ บดบังแสงอาทิตย์ไม่ให้สาดแสงลงมายังพื้นดิน  จึงทำให้ที่นี่ดูมีมนต์ขลังยิ่งนัก   เดินไปไกด์ก็อธิบายให้เราทราบเกี่ยวกับต้นไม้ รูปร่างแปลกตา เห็ดทรงแปลกๆ เฟิร์นหลากหลายชนิด

dsc_0023

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00008

“เดินหลุดออกมาจากป่าจะเห็นภาพนี้ ทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตา”

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00006

“กู๊ดเกี๊ยะ เฟิร์นทนไฟ สูงไม่ใช่เล่น โชคดีที่มาเดินใส่กางเกงขายาว ไม่งั้นต้องแผลกลับบ้านบ้างหล่ะ”

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00005

“เกือบถึงจุดหมายไฮไลท์แรก เดิน เดิน”

new-folder_00017

ตอนที่เดินออกมาก่อนที่จะพบกับทุ่งหญ้า เหมือนกับเรายังอยู่ในป่าซึ่งไม่ค่อยมีแสงมากนักแล้วหลุดมาพบกับทุ่งหญ้าสีเหลืองทองกว้างใหญ่ตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าคราม เป็นภาพที่สวยงามประทับใจ

วินาทีที่เราเดินผ่านทุ่งหญ้า ที่เราแอบเรียกติดตลกว่า “ทุ่งหญ้าสะวันนา” จริงๆแล้วมีชื่อเรียกว่า “ทุ่งหญ้าเมืองหนาวกึ่งอัลไพน์”  ซึ่งมีดอกไม้ป่าขึ้นระหว่างสองข้างทาง และต้นกูดเกี๊ยะ(เฟิร์นทนไฟ) สูงแทบจะเลยหัวเลยทีเดียว

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00002

“ถ้าช่วงที่เรามาไม่ได้มีหมอกปกคลุม เราจะมองเห็นตัวเมืองแม่แจ่มได้อย่างชัดเจน สวยงามไปอีกแบบ”

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00003

“หนึ่งในไฮไลท์ของ “กิ่วแม่ปาน” ไม่ถ่ายรูปไม่ได้แล้ว ลั่นชัตเตอร์จนเมมแทบหมดกันเลยทีเดียว”

%e0%b9%80%e0%b8%88%e0%b8%ad%e0%b8%b4%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%99%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b9%8c_00001

“ในบางครั้งที่พร้อมใจกันมายังจุดนี้ ต้องแย่งกันเก็บภาพสักหน่อย เพราะกว่าจะเดินมาถึงจุดนี้ต้องอาศัยแรงกาย แรงใจกันมิใช่น้อย”

dsc_0051

“ระหว่างทางเดินต่อ เดินลงสันเขา วิวสวยจนอดที่จะเก็บภาพอีกไม่ได้”

dsc_0028

เดินฝ่าดงเฟิร์นมาได้สักพัก ก็จะเห็นจุดชมวิวเป็นสะพานไม้ มีป้ายยาวอธิบายให้เราพอได้ทราบรายละเอียดเบื้องต้น   ถ้าช่วงไหนที่ไม่มีทะเลหมอก    เราจะสามารถเห็นตัวเมืองแม่แจ่มได้อย่างชัดเจน แต่ช่วงที่เราไปโชคดีมากที่มีทะเลหมอก เมฆสีขาวสะอาดตา ตัดกับขอบฟ้าสีคราม สุดลูกหูลูกตา   เป็นภาพที่ตราตรึงใจ  ถึงกับอดคิดไม่ได้ว่า   ถ้าเราตื่นมาทุกเช้าเปิดหน้าต่างแล้วพบกับวิวแบบนี้ จะดีสักขนาดไหน   ไกด์บอกกับเราว่าถ้าเราโชคดี   เราอาจจะได้เห็นเลียงผาตัวเป็นๆ ที่นี่

dsc_0069

“ทางเดินไม้แคบๆ เดินลงเขา สวยงาม ประทับใจ ท้องฟ้าสีครามตัดกับสีของทุ่งหญ้าป่า”

dsc_0076

             อิ่มเอมเก็บภาพเรียบร้อยก็เดินลัดเลาะสันเขาที่มีราวบันไดไม้คั่นเป็นระยะ ทางค่อนข้างแคบ แต่ไม่อันตรายถ้าเราระมัดระวัง  จากจุดชมวิวมาได้ไม่ไกล เราจะเห็นจุดสัญลักษณ์ของกิ่วแม่ปาน นั่นคือ  “ผาแง่มน้อย” เป็นแท่งหินแกรนิต ที่มีอายุกว่า 500 ล้านปี

dsc_0075

dsc_0070-2

จากนั้นเราก็เดินลัดเลาะภูเขา เพื่อไปยังที่จุดน่าสนใจอีกจุดเพื่อไปดูต้น “กุหลาบพันปี (Rhododendron)” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดอยอินทนนท์ก็ว่าได้

dsc_0092

นอกจากจะมีต้นกุหลาบพันปีแล้ว ยังมีกุหลาบป่า มอส เฟิร์น หายากที่เป็นพืชเฉพาะถิ่น สัตว์นอกจากเลียงผา แล้วยังมี กวาง เสือไฟ สลาแมนเดอร์ นกหายากอีกหลากหลายสายพันธุ์    บางครั้งเราอาจจะแปลกใจเมื่อมาเยือนที่นี่แล้วจะเห็นนักท่องเที่ยวแบกกล้องพร้อมเลนส์ที่ยาวมากๆเดินผ่าน

นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ของคนรักนก เพราะที่นี่มีนกหลากหลายสายพันธุ์ซึ่งบางสายพันธุ์จะมีแต่ที่นี่ที่เดียวเท่านั้น   เดินผ่านดอยมาหลายลูก เราก็มาถึงอีกหนึ่งจุดไฮไลท์นั่นคือ จุดชมวิวที่มองเห็นพระธาตุคู่ เก็บภาพแบบเมมแทบจะเต็มเลยทีเดียว เดินไปพักไปเป็นระยะ

dsc_0102

“บรรยากาศค่อนข้างเย็น บวกกับลมพัดมาเป็นระยะ ไอหมอกกระทบหน้า ถึงจะหนาวแต่ได้เห็นภาพแบบนี้ สู้สุดใจกันเลยทีเดียว”

dsc_0111

ที่พอจะทำให้คลายเหนื่อยเห็นจะเป็นลำธารเล็กๆแต่กลับใสสะอาด เสียงนกแข่งกันร้องประสานเสียง ทำให้เราแทบจะหยุดเดินเพื่อฟัง เหมือนเสียงดนตรีจากธรรมชาติ เดินไปชมวิวต้นไม้สองข้างทาง

          เราก็พบกับจุดพักที่เราชอบที่สุด นั่นคือ “เสียงป่า (Listen to Nature’s Voice)”  ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเกือบสุดท้ายให้เราแวะนั่งพัก หลับตา  ปล่อยกายใจให้ได้พัก  เพื่อซึมซับเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการมาเยือนยังที่แห่งนี้ ฟังเสียงนกร้อง เสียงลม เสียงใบไม้ เสียงน้ำไหลผ่านหิน   เหมือนเป็นการเพิ่มพลังให้กับชีวิตของเรา

บางครั้งเราก็คิดว่า เราอยู่กับธรรมชาติน้อยเกินไปหรือไม่ เรามัวแต่หลงไหลในเทคโนโลยีจนหลงลืมไปหรือไม่ว่าบรรพบุรุษของเราในอดีตก็เคยใช้ชีวิตใกล้ชิดกับธรรมชาติ

การเดินทางมายังกิ่วแม่ปานในครั้งนี้   นอกจากจะได้เห็นภาพความสวยงามจากธรรมชาติแล้วยังได้ประสบการณ์ดีๆ ความรู้มากมายเกี่ยวกับธรรมชาติ มาเที่ยวกันค่ะ    แล้วคุณจะหลงรักที่นี่เหมือนกันกับเรา

dsc_0044

เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจาก “แอ่วดี”

  • เวลาเปิด-ปิด กิ่วแม่ปาน 05.00 – 16.00 น.
  • ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีโรคประจำตัว ความดัน หัวใจ ไม่เหมาะจะมาเดินที่นี่ค่ะ เนื่องจากทางเดินจะค่อนข้างสูงชันและปีนป่ายในบางช่วง
  • การแต่งกายควรจะเป็นชุดใส่สบาย กางเกงขายาว รองเท้าผ้าใบ ควรติดเสื้อคลุมมาด้วยเนื่องจากที่นี่จะมีอากาศเย็นตลอดปี ฤดูหนาวควรจะเป็นเสื้อกันหนาว หมวก ผ้าพันคอ
  • พกน้ำดื่มใส่กระติก มาจิบให้ชุ่มคอระหว่างเดินป่าได้นะค่ะ อันนี้ประสบการณ์ตรงตอนเดินไม่ได้เตรียมมา คอแห้งมากๆ น้ำดื่มสามารถซื้อได้จากจุดจอดรถหน้ากิ่วแม่ปานค่ะ แต่ต้องไม่ทิ้งขยะในป่านะค่ะ เก็บออกมาด้วยเพื่อความสะอาด ป่าจะได้อยู่กับเราไปนานๆ
  • ถ้าเดินออกมาใครหิว ร้านอาหารด้านหน้าจุดจอดรถมีค่ะ ไก่ย่าง ส้มตำ ข้าวเหนียว อร่อยเลยทีเดียว
  • นักท่องเที่ยวต้องเสียค่าเข้าอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์คนไทย เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 40 บาท ต่างชาติ 200 บาท
  • ค่าไกด์ 200 บาทต่อกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 10 คน

“แอ่วดอยอินทนนท์ มายังไง”

  • การเดินทางสะดวกสบายค่ะ จะมาด้วยรถส่วนตัว หรือมอเตอร์ไซด์ก็ได้ไม่ว่ากัน จุดจอดรถก็หน้ากิ่วแม่ปานได้เลย แต่ควรจะขับด้วยความระมัดระวังระค่ะ เนื่องจากทางขึ้นเขาจะค่อนข้างชัน
  • ในกรณีที่ไม่มีรถ สามารถขึ้นรถสองแถวจอมทอง(รถเหลือง) ได้ที่หน้าประตูเชียงใหม่ เวลารถออก 00-16.00 หรือรถเมล์เล็ก(รถฟ้า) เชียงใหม่-ดอยเต่า โดยรถจะจอดส่งที่หน้าวัดพระธาตุจอมทอง จากนั้นให้เราต่อรถ จอมทอง-อินทนนท์ ไปยังจุดหมาย
  • ในกรณีที่ไม่ชินทางหรือไม่อยากนั่งรถสองแถว จะเช่าเหมารถตู้ก็ได้เช่นกัน ราคาวันละ 1,500-2,000 ไม่รวมน้ำมัน ก็แล้วแต่เราจะตกลงราคากันอีกที

บทความ ปาณิสรา นฤประชา

ภาพ ปาณิสรา vs สรวิชญ์

 

 

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น