Unseen in ดอยผาเวียง เปิดตำนานอารยธรรมโบราณใจกลางป่าลึก

ตามรอยนักโบราณคดี..เยือนแหล่งชุมชนโบราณห้วยวัด ชมวิวดอยผาเวียง คลายร้อนกับน้ำออกฮู(รู) น้ำแร่บริสุทธิ์จากหุบเขา ผจญภัยในถ้ำที่ยังไม่มีใครเคยสำรวจ พร้อมกับตามหาต้นลำไยยักษ์อายุหลายร้อยปี 

แอ่วดีReview ได้มีโอกาสออกทริปเดินป่า สำรวจเมืองโบราณใจกลางป่าลึก พร้อมกับคณะทีมสำรวจกว่า 49 คน ทั้งฝ่ายปกครอง ปลัดอำเภอลี้ นายเจริญทิพย์ อร่ามรุ่งโรจน์ อบต.แม่ลาน กำนันครรชิต ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมด้วยลูกบ้านแม่ลาน เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแม่ปิง นักโบราณคดี อาจารย์ยอดดนัย พร้อมผู้ช่วย และช่างภาพ สื่อมวลชน ได้ร่วมสำรวจ

การเดินทริปป่าในครั้งนี้ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกในชีวิต แต่ก็คล้ายกับเป็นครั้งแรก..นั่นก็เพราะว่า เรามาบุกเบิกสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่น่าสนใจของ ตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ที่นี่ไม่ใช่เป็นแค่เพียงการเดินป่า ชมวิวทิวทัศน์เท่านั้นนะ แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น นั่นก็คือการที่เราได้ร่วมสำรวจค้นหาเมืองโบราณใจกลางป่าลึก พร้อมกับทีมสำรวจ นักโบราณคดี..โอ้โห!! น่าตื่นเต้นใช่มั้ยหล่ะ

จุดสตาร์ทแรกของการเดิน จะผ่านสวนลำไยของชาวบ้าน เดินลัดเลาะมาตามลำห้วยเก่าที่ในตอนนี้นั้นแห้งสนิท ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร เดินย่ำเท้าบนโขดหิน มองเห็นการกัดเซาะของน้ำ โดยสามารถมองเห็นรากของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นริมน้ำได้อย่างชัดเจนในอดีตเชื่อว่าลำห้วยแห่งนี้น่าจะมีน้ำมากพอสมควร

เดินไปจนสุดทางน้ำ ก็พบกับทางขึ้นดอยที่มีชาวบ้านที่ร่วมทริปกับเรา ได้เตรียมอุปกรณ์จากธรรมชาติให้เรา นั่นก็คือ ไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่..อ๊ะๆ มาถึงตอนนี้ อาจจะยังงงๆว่า เค้าเอามาให้เราทำไมนะ(ฮ่าๆ) แต่ก้าวขาออกจากลำห้วยเท่านั้นหล่ะ มองขึ้นไปบนดอยไกลลิบๆ แบบที่ไม่มีทีท่าว่าจะเห็นยอดดอยสักที ก็เลยพอจะเข้าใจได้ว่า ทำไมเค้าถึงเอามาให้เรา

จริงๆแล้วครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกในชีวิตของเรา ที่ได้มีโอกาสได้ใช้ไม้เท้าในการเดินป่า แอบดูรีวิวของคนอื่นมานักต่อนัก ก็คิดว่ามันจะเกะกะไหม ถ้าเดินไปแล้วต้องถือไปด้วย แต่พอมาเจอสถานะการณ์จริง พูดได้เลยว่า ไม้นี้แหล่ะที่ช่วยชีวิต(ฮ่าๆ)

การเดินขึ้นดอยผาเวียง มีระยะทางประมาณ 5-6 กิโลเมตร พูดได้เลยว่าต้องฟิตร่างกายมาอย่างเต็มที่จริงๆ จึงอาจไม่เหมาะกับผู้สูงวัย เด็กเล็ก หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว ความดัน หัวใจ นั่นก็เพราะว่าเป็นทางขึ้นเขาสูงชันประมาณ 40 องศา แบบไม่มีที่ราบ

เดินไปด้วย ร้องเพลงในใจไปด้วย “ไม่รู้ต้องรออีกนานแค่ไหน ไม่รู้เมื่อไหร่ที่เราจะพบกัน ณ ผาเวียง” (ฮ่าๆ) พี่มาช่าก็มา…

ถึงจุดพักที่แรก เราก็พักรับประทานอาหารกลางวันที่ชุมชนเตรียมมาให้ ไก่ทอด ไข่ต้ม น้ำพริก และข้าวเหนียวห่อใบตอง ผลไม้ก็มีกล้วย ช่างเข้ากับบรรยากาศซะนี่กระไร!! เดินป่า เดินดอยที่นี่ ไม่ต้องพกน้ำติดตัวมาเยอะ แต่ให้เอากระติกน้ำติดตัวมาด้วย นั่นก็เพราะเราจะไปชิมน้ำดื่มบริสุทธิ์จากขุนเขา ที่เรียกว่า “น้ำออกฮู หรือ น้ำออกรู” นั่นเอง ซึ่งตัวชี้วัดความบริสุทธิ์สะอาดของน้ำนั่นก็คือ จิ้งเหลนน้ำ ที่อาศัยอยู่บริเวณที่แห่งนี้ ว่ากันว่า จิ้งเหลนน้ำจะอาศัยอยู่ในป่าลึก ที่ที่มีแหล่งน้ำบริสุทธิ์เท่านั้นจึงจะสามารถพบเห็นได้

ซึ่งน้ำออกฮู นี้เอง ก็อยู่ไม่ไกลจากจุดกางเต๊นท์ของเราเท่าไหร่นัก รสชาติของน้ำ แอ่วดีชิมมาแล้ว รสชาติไม่ต่างจากน้ำแร่ชื่อดังหลากหลายยี่ห้อที่วางขายบนห้างสรรพสินค้า น้ำมีความใส เย็น และสะอาดค่ะ

ก่อนที่เราจะทำการกางเต๊นท์ ตามความเชื่อของคนในพื้นที่ เราก็ต้องทำการบอกกล่าวไหว้สากับเจ้าป่าเจ้าเขา เพื่อคุ้มครองให้การเดินทางในครั้งนี้ปลอดภัย โดยมีเครื่องเซ่น ที่ชาวบ้านได้เตรียมมา ตามความเชื่อของชาวบ้านที่เชื่อว่า ดอยผาเวียงแห่งนี้ มีเจ้าป่าอารักษ์นามว่า “เจ้าพ่อข้อมือเหล็ก”  ดูแลอยู่

ถ้าจะพูดถึงความประทับใจที่เรามีให้กับทริปนี้ นั่นก็คือ การที่ได้สัมผัสกับธรรมชาติจริงๆ โดยคนในชุมชนที่ร่วมทริป ได้ร่วมกันทำแก้วน้ำดื่ม ที่ทำมาจากไม้ไผ่ ถ้วยใส่อาหารก็ทำมาจากไม้ไผ่ การหุงข้าวก็หุงในไม้ไผ่อีกนั่นแหล่ะ ไม้ไผ่นี่มีประโยชน์มากมายเลยนะ

ไหว้สาเจ้าที่เจ้าทางเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินสำรวจพื้นที่ ด้านบนจุดที่เรากางเต๊นท์ ชาวบ้านส่วนหนึ่งจะใช้พื้นที่ไว้เป็นที่สำหรับเลี้ยงน้องวัว จากจุดที่พัก เดินไปไม่ไกล เราจะสามารถไปยังจุดชมวิวผาเวียง ที่สามารถมองเห็นวิวได้อย่างสวยงาม ในยามค่ำคืนว่ากันว่าที่แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นจุดชมวิวทางช้างเผือกที่สวยแห่งหนึ่ง และในยามเช้าพระอาทิตย์ทอแสง ที่นี่ก็งดงามไม่เป็นสองรองใครอีกเช่นกัน

แต่เดี๋ยวนะ..ก่อนที่จะเดินกลับไปกางเต๊นท์ เราก็มีทริปผจญภัยเล็กๆ นั่นคือการร่วมสำรวจถ้ำ ที่ยังไม่เคยมีใครได้เข้าสำรวจมาก่อน แปลงร่างเป็น “แอ่วดีอินเดียน่าโจนส์” มุดๆ คลานๆ ลอดๆ ก็พบกับถ้ำที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใคร

ถ้ำที่นี่จะแตกต่างจากถ้ำอื่นๆที่เราเคยไปมา นั่นก็เพราะตัวผนังถ้ำเป็นดินนิ่ม ลองจับดูจะคล้ายกับดิน ทางเข้าถ้ำจะมีอยู่ 2 ช่วง ต้องมุดลอดเข้าไป ภายในถ้ำจะมีหินคล้ายหินงอกหินย้อย ตัวถ้ำมีความชื้น และทางเดินแคบยาว ด้านบนผนังถ้ำสองฝั่ง เป็นลักษณะโน้มเข้าหากันเป็นรูปสามเหลี่ยม คล้ายถ้ำนี้อยู่ระหว่างร่องเขา แต่อากาศภายในถ้ำถ่ายเทสะดวกมีลมพัดมาเป็นระยะ คล้ายกับช่องลม หรือมีทางออกอื่น จากการสำรวจเราได้พบเศษซากกระดูกสัตว์

สำรวจถ้ำจนบ่ายคล้อย ก็ได้เวลากลับไปกางเต๊นท์นอนกันแล้ว สำหรับเมนูในป่าที่เราแสนจะประทับใจ ก็หาได้ไม่ยาก ก็มาจากธรรมชาติในป่าเนี้ยแหล่ะ ตั้งแต่ แกงผักหวานป่าใส่ไข่มดแดง แกงบอน แกงอ่อม ยำไข่มดแดง(ที่ไปสอยจากรังมาหมาดๆ) อร่อยเหาะอย่าบอกใคร

พระอาทิตย์ทอแสง ก็พร้อมออกเดินทางไปยังเมืองโบราณห้วยวัด ที่ต้องเดินเท้าต่อไปอีกประมาณ 2-3 กิโลเมตร

เมืองโบราณห้วยวัด นักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่าอยู่ในยุคของปลายกรุงศรีอยุธยา ชาวเมืองผาเวียง เมืองก่อ(บ้านก้อในปัจจุบัน) เมืองสร้อย เมืองตื่น ที่ต้องกลายเป็นเมืองร้างผู้คนนั่นก็เพราะ โดนกองทัพของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กวาดต้อนลงไป ตามบันทึกเอกสารในสมัยอยุธยากล่าวว่า ผู้คนที่อยู่บนดอยผาเวียง เป็นชาวละว้า หรือ ลัวะ

แต่อีกตำนานก็ได้กล่าวว่า “ผาเวียง” เป็นเมืองที่สร้างมาจาก คนที่หนีภัยมาจากเมืองลี้ เมื่อครั้งที่เมืองลี้ ถูกภัยสงครามตีเมืองจนแตกพ่าย เลยหนีไปซ่อนตัวสร้างเมืองอยู่ที่ห้วยวัดนั่นเอง

ในส่วนของชื่อเมืองโบราณห้วยวัด ที่ชาวบ้านเรียกขานกันนั่นก็เพราะว่า มีลำห้วยอยู่ติดกับข้างวัด จึงเรียกกันว่า “ห้วยวัด” จากการเดินสำรวจพร้อมนักโบราณคดี ที่ได้เล่าเรื่องราวให้เราได้ฟังคร่าวๆว่า สถานที่แห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นเมืองๆหนึ่ง ที่มีการติดต่อค้าขาย กับคนภายในนอก ซึ่งที่นี่เองได้มีวัดที่สร้างตามคติความเชื่อของชาวล้านนา คือมีกำแพงแก้ว วิหาร เจดีย์ ซุ้มประตูโขง

หากเดินสังเกตดีๆจะค้นพบเครื่องปั้นดินเผาโบราณ ซึ่งมีทั้ง เครื่องถ้วยโบราณที่มาจาก เตาเวียงกาหลง จังหวัดเชียงราย เตาสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องถ้วยราชวงศ์หมิง ที่มีลวดลายสวยงาม

ได้ความรู้ประวัติศาสตร์แบบแน่นปึ๊กก่อนกลับ ก็แวะดูต้นลำไยยักษ์ ที่มีหลายต้นอายุหลายร้อยปี เคยเห็นกันมั้ย!! ต้นลำไยยักษ์ ขนาดหลายคนโอบ

ในอดีตว่ากันว่าบริเวณที่แห่งนี้ เคยได้รับสัมปทานตัดไม้สัก และไม้เนื้อดี จากบริษัทบอมเบย์เบอร์มา ก่อนที่จะเป็นบริษัทรำไพพนา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2504 – 2518 ก่อนยกเลิกไป

>>ข้อแนะนำเล็กๆน้อยๆสำหรับการมาเยือนเมืองโบราณห้วยวัด<<

ต้นหาญช้างร้อง

“ต้นช้างร้อง หรือ ตะลังกังช้าง” เป็นพืชที่พบเห็นได้บางช่วงของการเดินสำรวจวัด เป็นไม้มีพิษรุนแรง ปวดแสบปวดร้อน หากเราไปโดนเข้า โบราณว่า..พิษรุนแรงมากขนาดช้างยังร้อง หากโดนจะคันเจ็บแสบ ปวดร้อน รุนแรงกว่าพืชพิษชนิดอื่น ๆ หลายเท่าตัวนัก แต่ถ้าหากไปโดนเข้าโดยบังเอิญวิธีแก้คือ ถ้าโดนพิษ ห้ามใช้น้ำล้าง ให้ใช้ฝุ่นหรือแป้ง ใช้ขนหรือใช้เส้นผมปัดหนามและขนพิษออกไปหรือมาถูกับเส้นผมก็ได้

การเดินทางสำรวจทริปดอยผาเวียงในครั้งนี้ พูดเลยว่า สนุก ประทับใจ ผจญภัย ได้ความรู้ ทำให้เรากลายเป็นคนรักประวัติศาสตร์ขึ้นมาทันที ในอนาคตอันใกล้ดอยผาเวียง จะเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ให้กับผู้ที่มีใจรักธรรมชาติและการเดินป่า มาเที่ยวกันค่ะ ณ ดอยผาเวียง หมู่ 3 บ้านแม่ลาน และ หมู่ 4 บ้านแม่กองวะ ตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน

ติดต่อสอบถาม: ทริปดอยผาเวียง พ่อหลวงเสาร์คำ เบอร์โทร 096 776 3669

ขอบคุณอุทยานแห่งชาติแม่ปิง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ,ขอบคุณปกครองอำเภอลี้ ปลัดอำเภอลี้ นายเจริญทิพย์ อร่ามรุ่งโรจน์ , ขอบคุณกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน แม่หลวง ชาวบ้าน พร้อมผู้ร่วมทริปทุกท่านค่ะ

รีวิว/ภาพ ปาณิสรา นฤประชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น