แอ่วดี ตอน ม่อนเงาะ..ใครว่าไกล ไปมา(แล้ว)
หากอยากไปเที่ยวดอย ชมวิว นอนเต็นท์ ดูดาว ถ่ายทะเลหมอก ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่นัก ประมาณ 65 กิโลเมตร ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปได้ไม่นาน นั่นคือ “ม่อนเงาะ(Mon-Ngo)”
การเดินขึ้นเขาชมวิวไม่หนักหนาจนเกินไปนัก สำหรับมือใหม่หัดเดินเขาอย่างเรา ด้วยอากาศที่เย็นสบายและภาพภูมิทัศน์อันสวยงามตรงหน้า บอกได้เลยว่า คุณจะจำม่อนเงาะไปอีกนานแสนนาน
พร้อมกันนี้เรายังได้ ดูผลิตผลจากโครงการหลวงแม่หลอดและโครงการหลวงม่อนเงาะ ตามพระราชดำริของในหลวง รัชกาลที่ 9 และยังได้เห็นถึงพระอัจฉริยะภาพและสายพระเนตรอันกว้างไกลของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่ทำเพื่อประชาชนชาวไทยที่อยู่ห่างไกลอย่างแท้จริง
เริ่มต้นการเดินทางไปโครงการหลวงแม่หลอด แหล่งรวบรวมสายพันธุ์กาแฟอาราบิก้าชั้นดี ที่โครงหลวงแม่หลอด อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่(ใช้ถนนเส้นเชียงใหม่-ปาย เลยปากทางเข้าโครงการหลวงม่อนเงาะ ที่โรงเรียนสบเปิงวิทยาคม ไปประมาณ 2 กิโลเมตร เส้นทางเดียวกับทางเข้าน้ำตกหมอกฟ้า สังเกตป้ายด้านซ้ายมือ)
โครงการหลวงแม่หลอด นอกจากจะมีการทดลองปลูกกาแฟแล้ว ยังมี ซุกินีเหลือง, ฟักจานบิน, ออริกาโน่, ไชร์, มะเขือ, พริกไทย ซึ่งในอดีตชาวเขานิยมปลูกฝิ่นกันเป็นจำนวนมาก แต่เพราะโครงการหลวง จึงทำให้ชาวเขาหันมาปลูกพืชเศรษฐกิจแทน กระจายรายได้ที่ยั่งยืนสู่ชุมชน เพราะมีรายได้ดีกว่าและถูกกฎหมาย
สำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เป็นนักดื่มกาแฟชนิดแฟนพันธุ์แท้ ก็สามารถเข้าเยี่ยมชมโครงการหลวงแม่หลอดได้ เพราะเราจะเห็นถึงขั้นตอนของการผลิตกาแฟ ว่ากว่าจะมาเป็นกาแฟให้เราได้ชิมกันทุกวันนี้ มีหลากหลายขั้นตอน แล้วที่สำคัญนักท่องเที่ยวจะได้มีโอกาสชิมกาแฟสด(ผลสีแดง) ซึ่งมีรสชาติหวานไม่ได้ขมเหมือนกาแฟที่คั่วแล้ว ถ้าหากนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาท่องเที่ยวเชิงเกษตรและชิมกาแฟหอมกรุ่นพร้อมกับสัมผัสอากาศเย็นสบาย ที่นี่ยังมีบ้านพักรับรองสำหรับนักท่องเที่ยวอีกด้วย
โครงการหลวงแม่หลอด มีห้องพักรับรองแบบเป็นกลุ่มคณะ 1 ห้องนอนใหญ่ 20-30 คน คนละ 150 บาท ห้องพักสแตนด์ดาร์ด (สร้างใหม่) ราคา 800 บาท ภายในบริเวณที่พักยังมีร้านอาหารและร้านขนม กาแฟ ให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย ไม่ห่างไปจากโครงการหลวงแม่หลอดนัก มีน้ำตกหมอกฟ้า ซึ่งอยู่ระหว่างทางมาโครงการหลวงแม่หลอด สามารถจอดรถได้ที่ทำการอุทยาน แล้วเดินเท้าเข้าไปไม่ไกลนักประมาณ 200 เมตร ภาพยนตร์ดังๆหลายเรื่องเคยมาถ่ายทำยังสถานที่แห่งนี้ ว่ากันว่าน้ำตกมีความสูงและมีสีเขียวเหมือนมรกตสวยงาม จึงได้ชื่อว่า “น้ำตกหมอกฟ้า”
หลังจากนั้นเราได้ย้อนกลับมาทางโรงเรียนบ้านสบเปิง เพื่อเยี่ยมชมอีกหนึ่งโครงการ คือโครงการหลวงม่อนเงาะ ต.เมืองก๋าย จ.เชียงใหม่ ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากโครงการหลวงแม่หลอด ผลิตผลที่ขึ้นชื่อของที่นี่ คือ ฟักทองเรียงแถว(บังคับปลูกไปในทิศทางเดียวกัน) เห็ดหลินจือ, ชา, พลับ, พลัม แต่หากจะเข้าไปดูฟักทองเรียงแถว ซึ่งใช้เวลาเดินทางจากโครงการหลวงม่อนเงาะประมาณ 40 นาที โดยต้องใช้รถ 4W ถนนค่อนข้างสูงชันและเป็นดินลูกลัง นักท่องเที่ยวที่อยากเข้าชม สามารถติดต่อรถได้ที่เจ้าหน้าที่โครงการหลวง เพื่อความปลอดภัย และยังมีอีกหนึ่งสถานที่ที่สวยงามให้เราได้เยี่ยมชม นั่นคือ ไร่ชาลุงเดช จิบชาอันหอมกรุ่น พร้อมฟังเรื่องราวกว่าจะมาเป็นชาชั้นดีของที่นี่ สามารถปรึกษาข้อมูลการเดินทางได้ที่สำนักงานโครงการหลวงม่อนเงาะ
จุดที่น่าสนใจของที่นี่ ที่เป็นเป้าหมายสำหรับนักท่องเที่ยวคงไม่พ้น “จุดชมวิวม่อนเงาะ” ที่มาของชื่อม่อนเงาะ ไม่ใช่เพราะที่นี่ปลูกเงาะ แต่เพราะที่นี่มีลักษณะเป็นหินผาเรียงกันอยู่สามลูก มี ผาลูก ผาพ่อ ผาแม่ ในอดีตม่อนเงาะ เรียกโดยคนท้องถิ่นว่า “โม่งโง๊ะ” ที่แปลว่า” แม่” ในภาษาม้ง จึงเรียกเพี้ยนมาเป็น ม่อนเงาะ จนถึงปัจจุบัน การเดินทางมาที่นี่ไม่ลำบากเท่าไหร่ เหมาะสำหรับรถที่มีกำลัง หรือ รถกะบะ ที่สำคัญต้องขับขี่ด้วยความระมัดระวัง เพราะถนนค่อนข้างแคบและมีดินลูกลัง ฤดูฝนจึงไม่เหมาะนักสำหรับที่นี่ ฤดูที่เหมาะแก่การชมความงามควรเป็นฤดูหนาว ตลอดเส้นทางจะผ่านหมู่บ้านที่ยังคงอนุรักษ์ความเป็นบ้านของทางภาคเหนือไว้อย่างสวยงาม และยังมีโฮมสเตย์ ให้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
หากใครไม่ชำนาญเส้นทางนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อรถ ได้ที่โครงการหลวงม่อนเงาะ ราคารถประมาณ 800 บาท (แต่เป็นรถกะบะมีโครง ไปได้หลายคน สนุกไปอีกแบบหนึ่ง อารมณ์เหมือนเราเป็นชาวสวนกำลังจะไปเก็บส้ม) แต่ถ้าขับรถขึ้นไปเอง จะมีจุดลานจอดรถให้บริการ แต่ก็ไม่กว้างเท่าไหร่นัก จอดรถได้ประมาณ 20 คัน แล้วเดินเข้าไปจุดกางเต็นท์ประมาณ 50 เมตร
การมาชมยอดดอยม่อนเงาะ เมื่อนักท่องเที่ยวเดินขึ้นมาตามไหล่เขาประมาณ 200 เมตร จะเป็นทางแคบๆ แต่ไม่ต้องกลัว เพราะทางสถานที่เขาได้จัดเขตไม้กั้นไว้ เพื่อแสดงจุดปลอดภัย การเดินมาจุดนี้ควรใส่รองเท้าผ้าใบเดินเป็นดีที่สุด เดินเหงื่อออกพอประมาณ เหมือนจะไม่ไกล แต่ทำเอาเราหอบเล็กน้อย แต่เมื่อมาถึงจุดยอดของดอยม่อนเงาะ ความเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง เพราะภาพความงดงามของธรรมชาติอันสวยงามที่อยู่ตรงหน้าเราใกล้แค่เอื้อม
ยิ่งมาช่วงพระอาทิตย์ตกดินมันช่างสวยงามอะไรเช่นนี้ มองจากจุดยอดดอยม่อนเงาะ สามารถเห็นผืนป่าแม่แตง และ ดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งก็เป็นอีกดอยที่เราใฝ่ฝันที่จะไปพิชิตให้ได้ จุดชมวิวมี 2 แห่งคือจุดชมวิวด้านบนสุด จะมีป้ายไม้ม่อนเงาะ ติดอยู่ ส่วนอีกด้าน จะเป็นจุดชมวิวทางเดินเล็กๆที่เป็นหินปูนยื่นออกไป นักท่องเที่ยวควรเดินด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากหินมีความคม และเป็นหน้าผาสูงชัน ทำเอาเราขาสั่นเพราะกลัวความสูง มีทั้งความอยากเก็บภาพความงดงามตรงหน้า และความกลัวที่แทบจะไม่อยากขยับตัว แต่ในที่สุดเราก็รวบรวมความกล้า เก็บภาพความงดงามมาได้สมใจ ชมภาพความงาม จนแทบจะไม่อยากลงมา
เดินลงมาจากเขาเราก็ช่วยกัน กางเต็นท์และทำอาหาร ในส่วนของอาหาร เราควรเตรียมมาเองหรือใครที่อยากจะชิมอาหารท้องถิ่น(อาหารม้ง) สามารถติดต่อได้ที่สำนักงานโครงการหลวงม่อนเงาะ เมนู อาทิเช่น ไก่ต้มสมุนไพร ยำยอดใบ ชา
พร้อมกันนี้เรายังสามารถก่อแคมป์ไฟ คลายหนาวได้อีกด้วย ดึกๆอากาศที่นี่จะค่อนข้างหนาว ทางที่ดีเราควรเตรียมผ้าพลาสติกคลุมเต็นท์อีกที เพราะในตอนกลางคืนน้ำค้างที่นี่จะค่อนข้างมากพอสมควร
กิจกรรมในยามค่ำคืนกลางป่าเขาลำเนาไพรแบบนี้ ที่จะขาดไม่ได้ คือ ดูดาว จะนอนดูหรือนั่งดูก็ไม่ว่ากัน ที่นี่มีทั้งดาวบนฟ้าและดาวบนดิน เราจะเห็นดาวเต็มท้องฟ้าและดาวจากดินคือดาวจากแสงไฟในตัวเมืองเชียงใหม่ แทบไม่น่าเชื่อว่า วิวสวยงามขนาดนี้จะอยู่ไม่ห่างไกลเลยจากตัวเมืองเชียงใหม่ สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบถ่ายภาพ จากที่นี่สามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ สวยงามประทับใจ
ตื่นมาในยามเช้า นอกจากเราจะได้สัมผัสกับความหนาวเย็นแล้ว เรายังได้เห็นคลื่นทะเลหมอกอันสวยงาม พร้อมกับพระอาทิตย์ยามเช้าที่ทอแสงอ่อนๆ ให้ได้เห็น ไกลๆ
ดื่มด่ำกับภาพวิวตรงหน้า พร้อมกับจิบกาแฟคั่วสด(แบบบดมือ)กาแฟสไตล์ม้ง ไม่ต้องมีเครื่องทำหรูหราราคาแพง ทำง่ายๆแต่ก็อร่อย บางทีอาจจะอร่อยกว่ากาแฟเจ้าดังๆในเมืองซะอีก นั่งจิบกาแฟหอมกรุ่นพร้อมชมวิวทะเลหมอก บอกได้เลยว่า สุขกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว บางครั้งความสุขอาจจะไม่ต้องมีสิ่งปรุงแต่งมากมาย แต่อาจจะมาจากสิ่งง่ายๆที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา มาเที่ยวกันแล้วจะรู้ว่าที่เราพูดไม่ได้ไกลเกินจริงเลย
ในด้านของสิ่งอำนวยความสะดวกที่นี่มีให้ คือ ห้องน้ำมีให้บริการแยกชาย หญิง พร้อมห้องอาบน้ำ แต่ยังไม่มีไฟ เราควรเตรียมไฟฉายไปด้วย นอกจากนี้ ถ้าเราโชคดีอาจจะได้เห็น “เลียงผา” ตัวเป็นๆอีกด้วย เราได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ในวันถัดมาว่า พบรอยเท้าเลียงผา บริเวณจุดลานกางเต็นท์
ท้ายสุดนี้การท่องเที่ยวป่าเขาชม ความงามจากธรรมชาติ เราควรให้ความเคารพยังสถานที่เพื่อให้ความงามนี้ยังคงอยู่กับเราไปนานจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน ไม่ทิ้งและไม่เก็บอะไรไป เก็บไว้แต่ความประทับใจและภาพถ่ายที่สวยงามกันค่ะ
อัตราค่าบริการ ณ ม่อนเงาะ
ค่าบำรุงสถานที่ 30 บาท/คน
ค่าเช่าเต็นท์ 300 บาท/หลัง
ค่าที่กางเต็นท์ 150 บาท/หลัง (ในกรณีที่นำเต็นท์มาเอง)
ค่าที่จอดรถยนต์ 40 บาท/คัน (ในกรณีที่พักค้างคืน)
ค่าที่จอดรถมอเตอร์ไซค์ 10 บาท/คัน (ในกรณีที่พักค้างคืน)
ติดต่อสอบถาม
คุณสุรพงษ์ (ประธานกลุ่มการท่องเที่ยวม่อนเงาะ) 085-7246364
คุณสุทัศน์ (ไกด์ท้องถิ่นบ้านเหล่า) 081-0227480
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงม่อนเงาะ 053-228115
สถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติม
- วิถีชีวิตเผ่าม้ง และ ประเพณีการกินวอ ซึ่งจะตรงกับขึ้น 1 ค่ำ ของเดือนมกราคมของทุกปี
- เงือกผา เป็นหินงอกที่มีลักษณะคล้ายกับนางเงือกหันหน้าเกาะผาอยู่
- บ่อน้ำทิพย์ เป็นแอ่งน้ำซึมตลอดทั้งปี ชาวบ้านมีความเชื่อกันว่าสามารถรักษาโรคให้หายขาดได้
- เลือดผา มีอยู่บริเวณซอกผา ชาวบ้านมีความเชื่อว่า สามารถใช้รักษาโรคได้เช่นกัน
- ถ้ำลม ลักษณะของถ้ำคือ จะมีลมไหลออกจากถ้ำตลอดเวลา รู้สึกได้ชัดเจนเมื่อเรายืนอยู่บริเวณปากถ้ำ
เกร็ดเล็ก เกร็ดน้อยจากแอ่วดี
- ในการนอนค้างคืนยังจุดชมวิวม่อนเงาะ อากาศค่อนข้างหนาวในตอนกลางคืน ควรเตรียมเครื่องนุ่งห่มกันหนาวมาด้วย
- การเดินเท้าไปยังจุดชมวิว มีบางจุดที่แคบและสูงชันควรเดินด้วยความระมัดระวัง
- จากปากทางเข้าไปยังม่อนเงาะ ยังไม่มีร้านอาหารและร้านขายของมากมายนัก นอกจากร้านค้าชาวบ้าน ควรเตรียมเผื่อไปด้วยค่ะ
- ไฟฉาย คือสิ่งที่ควรเตรียมไปด้วยเนื่องจากห้องน้ำที่นี่ยังไม่ติดไฟค่ะ
ภาพและบทความ ปาณิสรา นฤประชา, ใหญ่ สรวิชญ์
ขอบคุณภาพเพิ่มเติมจาก คุณ Niwath Sermma(ยักษ์ใจดี)