“สีสันตะวันออก” เก็บกระเป๋าแล้วไปเที่ยวกัน!!
บินลัดฟ้าจากเมืองเหนือ ข้ามภาคมาแอ่วยังพัทยา โดยสายการบิน Airasia ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็สะดวกสบาย เพราะเค้ามีบินตรง ใช้เวลาในการเดินทางเพียงไม่นาน เรียกได้ว่า “หลับยังไม่ทันฝัน” เครื่องก็ลงซะแล้ว ถึงแม้ช่วงที่เราเดินทางจะเป็นฤดูฝน แต่ก็ใช่ว่าฤดูฝนจะเที่ยวไม่สนุกนะ ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่ง
ทริปในการเดินทางของเราในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นเวลาที่พอน่ารัก เพราะไม่นานจนเกินไป 3 วัน 2 คืน แต่เที่ยวได้ครบทั้ง “พัทยา ชลบุรี – ระยอง” พอลงจากเครื่องปุ๊บที่สนามบินอู่ตะเภา เราก็เดินทางไปยัง “สวนนงนุช” ในทันที จะว่าตื่นเต้นมากๆก็ได้นะ เพราะเป็นครั้งแรกของเราในการเที่ยวที่นี่ แล้วยังได้ข่าวมาว่า ที่นี่เปิดสวนธีมใหม่ นั่นก็คือ ” หุบเขาไดโนเสาร์” สาวกไดโนเสาร์อย่างเรามีหรือจะพลาด
เมื่อถึงยังสวนนงนุช ก็มีรถรางมารับพาเราเข้าไปชมยังด้านใน ..ฟังเจ้าหน้าที่บรรยายถึงสวนเพลินๆ ก็เริ่มจะเข้าถึงโซนไดโนเสาร์ คราวนี้ไม่ว่าจะเด็กเล็กเด็กโต ก็นั่งแทบจะไม่ติดเก้าอี้ นั่นก็เพราะไดโนเสาร์ตัวโต หลากหลายสายพันธุ์ที่อยู่เต็มหุบเขา สมแล้วนะ ที่เค้าเรียกที่นี่ว่า “หุบเขาไดโนเสาร์” ถึงไดโนเสาร์จะขยับหรือเดินไม่ได้ แต่ก็มีเสียงร้องคำรามประกอบ ก็ทำให้เราอินได้ไม่น้อยเลยนะ
นี่เค้ายังสร้างไดโนเสาร์ยังไม่หมดนะ ถ้าสร้างจนครบจะอลังการงานสร้างขนาดไหน สำหรับเราเวลาในการเดินชมสวน ถ้าจะให้ครบทั้งวันก็ไม่น่าจะหมด เพราะมุมไหนก็เหมาะไปหมดที่จะหยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์
เหนื่อยจากการเดิน ที่นี่เค้าก็ยังมีกิจกรรมให้เราได้ทำมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร เมนูแสนพิเศษอย่าง สลัดโรล(ผักสลัดออร์แกนิค ที่เค้ามีแปลงปลูกอยู่ด้านหน้าทางเข้า) กับ แกงเขียวหวาน เรียกได้ว่า ทำออกมา แล้วแสนจะภูมิใจแถมอร่อยอีกด้วย
ทานพอรองท้อง(แบบหมดข้าวไป 1 จาน) ก่อนที่จะไปทานอาหารกลางวันแบบอิ่มของจริง ซึ่งอาหารกลางวันที่นี่ก็เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ มีอาหารให้เลือกหลากหลายไม่ว่าจะเป็น อาหารแบบนานาชาติ ไทย จีน ญี่ปุ่น ขนมหวาน ไอศกรีม ผลไม้ ส้มตำ ฯลฯ
อิ่มแล้วก็ได้เวลาเดินทาง เพื่อไปล่องเรือ ยังท่าเรือโอเชี่ยนมาริน่า โดยการเดินทางของเราในครั้งนี้ก็แสนจะพิเศษและประทับใจ นั่นก็เพราะเป็นครั้งแรกของเรา(อีกแล่ะ) ที่นั่งเรือยอร์ช (Blue Voyage) คือดี..พูดเลย!!
ถึงแม้นว่าก่อนออกเดินทางฟ้าฝนจะไม่ค่อยเป็นใจสักเท่าไหร่ แต่หลังสายฝนจางหาย ท้องฟ้าเปิดราวกับเป็นใจ
เราก็สูดกลิ่นอายของอากาศหลังฝนตก มันช่างสดชื่น นี่แหล่ะน้า!! ที่เค้าเรียกว่า “ฟ้าหลังฝน ย่อมสดใสเสมอ”
การบริการบนเรือ เรียกได้ว่าสุด Exclusive นั่นก็เพราะเจ้าหน้าที่บนเรือ บริการดี มีเครื่องดื่มบริการตลอดการเดินทาง อีกทั้งยังมีอาหาร บาบีคิว และข้าวผัดทะเล กุ้งตัวโต เรียกได้ว่าเหนื่อยจากการว่ายน้ำทะเล ก็มานั่งชิล กินอาหารอร่อยๆ พร้อมนั่งมองวิว “เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม” นะ..นาทีนี้
1 วันแห่งการเดินทางท่องเที่ยวที่แสนประทับใจหมดไปโดยที่เราแทบไม่รู้ตัว เริ่มต้นวันใหม่อีกวันด้วยการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ห่างจากตัวเมืองพัทยาไปไม่ไกลนัก นั่นก็คือ “A La Compagne” อะลาคอมปาณย์ สถานที่ท่องเที่ยวชิคๆแห่งใหม่ มาที่นี่ที่เดียว เรียกได้ว่า “ครบครัน” ทั้งกิจกรรม อาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าให้เลือกช็อป
และที่นี่ยังมีกิจกรรมที่แสนจะน่ารักเอาใจเด็กเล็กเด็กโตอย่างเราๆ นั่นก็คือ กิจกรรมการให้อาหารสัตว์ อาทิ น้องม้า(มีหนวด) เคยเห็นม้ามีหนวดกันไหม! ก็นั่นแหล่ะ..มาเห็นก็ที่นี่หล่ะ
แถมยังได้เก็บไข่ไก่ จากแม่ไก่อารมณ์ดี อุ้มได้เล่นได้ ไม่หวงเนื้อหวงตัว ด้านหลังบ้านแม่ไก่ยังมีเหล่าน้องหมู ห่าน พร้อมใจกันส่งเสียงทักทายต้อนรับแขกกันอย่างขมักเขม้น
สำหรับกิจกรรมในฟาร์มเล็กๆแห่งนี้ จะใช้เวลาเพียงไม่นาน แต่ก็ราวกับได้หยุดเวลาเอาไว้ คล้ายกับตัวเราย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง….จากกิจกรรมนี้ ก็ไปอีกหนึ่งกิจกรรม นั่นก็คือ “กิจกรรมศาสตร์แห่งชา” การชงชาที่เรามองว่าง่าย จริงๆมันก็ไม่ง่ายเลยนะ ชงยังไงให้กินแล้วได้สุขภาพดี เลือกชาอย่างไรให้เหมาะกับเรา ชามีกี่ชนิด!! ที่นี่มีคำตอบให้ค่ะ
อ๊ะๆ!! สำหรับกิจกรรมเวิร์คช็อปในครั้งนี้ ยังมีกิมมิคน่ารักๆอย่าง การปรุงชา ผสมชาในสูตรเฉพาะของเราที่คิดค้นขึ้นเอง “อร่อยไม่อร่อย อยู่ที่คนปรุง” แล้วค่ะงานนี้..
ผ่านกิจกรรมการเวิร์คช็อปมาหลากหลาย ก็ได้เวลาทานอาหารมื้ออร่อย!! เมนูที่เราเลือกเองในครั้งนี้คือ “สเต็กแซลมอน” เนื้อนุ่มราดด้วยน้ำผึ้งและมะนาว ทานคู่กับอโวคาโดโป๊ะหน้าด้วยเนื้อปู อร่อยฟินๆกันไปค่ะ
อิ่มแล้วก็แอบถ่ายอาหารของคนข้างๆบ้าง เมนูน่าทานอย่าง “สเต็กหมู” เนื้อฉ่ำ เสิร์ฟคู่มันฝรั่ง มะเขือเทศย่าง โรสแมรี่สด ราดด้วยซอสรสชาติกลมกล่อม
นอกจากจะมีอาหาร เครื่องดื่มแล้ว ที่นี่ก็ยังมีขนมหน้าตาน่าทานมากๆอีกด้วย..นี่ถ้าไม่ติดว่า “อิ่มนะ”
และแล้วก็ถึงเวลาเดินย่อยอาหารกันสักหน่อย..ด้านหน้าทางเข้ามีร้านขายสินค้าที่ระลึกให้เลือกช็อป มีทั้ง ผัก ผลไม้ ของที่ระลึกแบบแฮนด์เมดมากมาย
หลังจากใช้เวลากับที่นี่พอสมควร ก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังสวนผลไม้ “สวนแสงแดด” นี่มารู้ทีหลังนะ ว่าชื่อสวนนี้มาจากชื่อของป้าเจ้าของสวน(ชื่อน่ารักมากๆ คุณป้าแสงแดด)
เป็นครั้งแรกอีกนั่นแหล่ะ ที่ได้มาบุฟเฟ่ต์ที่สวนผลไม้ “เมนูชูโรง” เห็นจะหนีไม่พ้น “น้องทุเรียน” คือแบบ..มันฟิน!! เพราะเมืองเหนือของเราไม่มีทุเรียนไง มันเลยตื่นเต้น อย่างบอกไม่ถูก(ฮ่าๆ)
แล้วไม่ใช่จะมีแค่ทุเรียนเท่านั้นนะ มังคุด เงาะ ก็มีนอกจากนี้อาหารคาวเค้าก็เตรียมไว้ต้อนรับทั้ง ส้มตำ ของทอด และเมนูที่เราไม่เคยได้ทานที่ไหน แต่มาทานที่นี่ นั่นก็คือ “แกงเขียวหวานทุเรียน” รสชาติจัดจ้านอร่อยเหาะ ทุเรียนที่เค้านำมาทำก็เป็นทุเรียนดิบ ทานแล้วมันก็จะกรอบๆ มันๆ อร่อยอย่างลงตัว นี่ถ้าไม่ติดว่าอิ่ม สเต็กแซลมอนคงได้เติมอีกหลายจาน
อิ่มแล้วก็พร้อมเดินทางต่อ พร้อมกับกล่าวคำอำลาเจ้าของสวน ที่ต้อนรับขับสู้เราเป็นอย่างดี พอได้ยินสำเนียงน่ารักๆจากคนที่นี่ พร้อมพูดต่อท้ายด้วยคำว่า “ฮิ” ก็ทำเราอมยิ้มได้ไม่น้อย ปีหน้าฟ้าใหม่..เราจะกลับมาที่นี่อีกอย่างแน่นอน
เปิดประตูขึ้นรถ ก็ไปต่อยัง “วัดประดู่” เพื่อกราบพระขอพร และเดินรอดอุโบสถ 9 รอบ เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต
วัดป่าประดู่ เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดระยอง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้รับการยกเป็นพระอารามหลวงเมื่อปี พ.ศ. 2523 ภายในวิหารมีพระพุทธไสยาสน์(พระนอน) ประดิษฐานอยู่
มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนที่ไหนคือ นอนตะแคงซ้าย แทนที่จะนอนตะแคงขวาอย่างพระนอนทั่วไป ในอดีตพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ต่อมาจึงได้สร้างศาลาครอบเมื่อปี พ.ศ. 2524
เวลาหมุนเร็วเสมอ โดยเฉพาะเวลามาเที่ยว(คงจะจริง) เพราะเผลอแป๊บเดียว ก็หมดวันไปอีกแล้ว!!
วันสุดท้ายของทริป เราตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อไปเดินชิลยัง “ทุ่งโปรงทอง” ป่าชายแลนผืนใหญ่ที่มีเนื้อที่มากกว่า 6,000 ไร่ หากเดินไปชมยังจุดไฮไลท์จากปากทาง ระยะทางประมาณ 150 เมตร แต่หากอยากเดินชมต่อไปอีกจนสุดทาง มีระยะทางประมาณ 2.5 กิโลเมตร
ทุ่งโปรงทอง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งใน Unseen in ระยอง และเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว เพราะสามารถมาเที่ยวชมได้ทุกฤดู ซึ่งในแต่ละฤดูก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป
แต่หากอยากมาชมทุ่งโปรงทอง ให้เป็นสีทองอร่าม ต้องมาในช่วงที่แดดจัดสักเล็กน้อย เมื่อยามที่แสงแดดตกกระทบใบไม้ โปรงทองก็ราวกับจะพร้อมใจกันเปล่งแสงสีทองเหลืองอร่าม ตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า ถือได้ว่าเป็นภาพที่ประทับใจไม่ลืมเลือนเลยทีเดียว
นอกจากการเดินชมทุ่งโปรงทองแล้ว ยังมีกิจกรรมจากคนในชุมชนนั่นก็คือ การนั่งรถสามล้อชมวิว 5 จุด โดยรถ 1 คัน สามารถนั่งได้สูงสุด 4 คน(คันละ 200 บาท) การนั่งสามล้อชมวิว ก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบหนึ่งนะ เพราะนอกจากเค้าจะพาไปเดินทุ่งโปรงทองแล้ว ยังพาไปไหว้ขอพรกรมหลวงชุมพร หรือเสด็จเตี่ย อีกด้วย
ต่อจากนั้น พลขับก็ได้พาเราเข้าไปชมต้นตะเคียนทอง ซึ่งมีอายุมากกว่า 500 ปี
และที่นี่เองก็ยังมีตำนานที่เล่าขานกันต่อมาว่า ในวันที่มีพายุ กิ่งต้นตะเคียนทองได้หล่นปักลงมายังหน้าศาลเจ้าแม่ตะเคียนทอง ชาวบ้านเห็นว่า จะย้ายกิ่งที่ปักอยู่นี้ไปไว้ยังที่อื่น แต่ยกเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ไม่ว่าจะใช้คนมากขนาดไหน หรือจะเป็นรถขุดดินยกยังไงก็ไม่ขึ้น นี่จึงเป็นที่มาของกิ่งไม้นี้ยังอยู่ที่เดิมจวบจนถึงปัจจุบัน
จากจุดนี้ก็เดินทางต่อไปยังสถานที่ต่อไป นั่นก็คือ ” บ้านพิพิธภัณฑ์ประแส” ซึ่งที่นี่ก็มีเรือรบหลวงประแสจำลอง พร้อมกับรูปถ่ายโบราณ ประวัติเรื่องเล่าของชาวประแสในอดีตอีกด้วย
ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ ก็แอบไปดูการนำเคยของชาวบ้านมาแปรรูป ทำเป็น “กะปิ”
สถานที่สุดท้ายของกิจกรรมการนั่งรถสามล้อเที่ยว นั่นก็คือ “อนุสรณ์เรือรบหลวงประแส” เรือรบหลวงที่ใช้ในสงครามคาบสมุทรเกาหลี ปัจจุบันปลดประจำการ จึงได้นำมาตั้งเด่นเป็นสง่า ณ ปากแม่น้ำประแส เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้รำลึกถึง
นอกจากจะมาชมเรือรบหลวงแล้ว ที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยมาก โดยเฉพาะด้านบนดาดฟ้าของเรือ สามารถมองวิวทะเล ปากแม่น้ำ ได้แบบไกลสุดสายตา
หากมาเที่ยวยังที่นี่แล้วอยากนั่งรถสามล้อชมวิวแบบเรา สามารถติดต่อได้ที่ 062-6473839 (ประธานกลุ่ม)
การมาเที่ยวที่แสนประทับใจของเราในครั้งนี้ ต้องขอขอบคุณ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานเชียงใหม่, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานระยอง , การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานพัทยา และผู้ร่วมทริปทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ค่ะ
พิกัดสถานที่ท่องเที่ยว:
- สวนนงนุช 34/1 ตำบล นาจอมเทียน อำเภอ สัตหีบ ชลบุรี GPS: https://goo.gl/maps/hbAiNih26ht
- อะลาคอมปาณย์ 1/2 ม. 1 นาจอมเทียน ตำบล นาจอมเทียน อำเภอ สัตหับ ชลบุรี GPS: https://goo.gl/maps/Nb8yiQQTtv52
- ท่าเรือโอเชี่ยน มารีน่า GPS: https://goo.gl/maps/MrrVZHTcWTH2
- ทุ่งโปรงทอง ตำบล ปากน้ำกระแส อำเภอ แกลง ระยอง GPS: https://goo.gl/maps/PAw77xPxw1P2
ขอบคุณภาพ DRONE : CM108
รีวิว by ปาณิสรา นฤประชา